
หากคุณเป็นคนหนึ่งที่อยากจะเป็นเทรดเดอร์
ที่ประสบความสำเร็จพยายามตอบตัวเองให้ได้ก่อนว่า...
คุณอยากเป็นเทรดเดอร์เพราะอะไร และ
คุณมีเงินที่พร้อมสำหรับการฝึกฝน (ลงทุน) เท่าไหร่
เพราะเส้นทางสู่การเป็นเทรดเดอร์ไม่ได้สวยงามอย่างที่หลายคนเข้าใจ ต้องผ่านร้อนผ่านหนาว ทำการบ้านล่วงหน้า และฝึกฝนการเทรดอย่างสม่ำเสมอ
เราลองมาดูกันดีกว่าว่า... คนที่เป็นเทรดเดอร์เค้าต้องทำอะไรกันบ้าง
![]() |

เริ่มแรกต้องรู้จัก บริหารเงินลงทุนของตนเอง (Money Management) เพื่อปกป้องความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุน โดยเทรดเดอร์มักจะแบ่งเงินออกเป็น 4 ก้อน ก้อนแรกจะเป็นเงินสำรองและเงินหมุนเวียนในการรักษาขนาดของพอร์ตการลงทุน ส่วนอีก 3 ก้อนจะใช้ซื้อหุ้นแต่ละตัวอย่างมีแบบแผน เพื่อจำกัดวงเงินการขาดทุน (Value) และโอกาสในการขาดทุน (% Loss) ซึ่งจะขึ้นอยู่กับกลยุทธ์การซื้อขายทางเทคนิคของเทรดเดอร์แต่ละคนด้วย เช่น การแบ่งไม้ซื้อเพิ่ม หรือการคำนวณความคุ้มค่าในการลงทุน เช่น ถ้าซื้อแล้วต้องมีมูลค่ากำไรมากกว่ามูลค่าขาดทุน (Risk / Reward Ratio) มากกว่า 2 เท่าขึ้นไป
จากนั้นจะเข้าสู่กระบวนการ ค้นหาและคัดกรองหุ้น ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 แนวทาง คือ

1. การหาหุ้นจากกราฟเทคนิค (Technical Analysis)
เช่น หาหุ้นที่กำลังกลับตัวเป็นขาขึ้นด้วยสัญญาณ Bullish Divergence โดยดูจาก Momentum Indicator เพื่อหาหุ้นที่มีกำลังในการลงน้อยลงและส่งสัญญาณการกลับตัวเพื่อเป็นขาขึ้นรอบใหม่ หรือหาจากหุ้นที่อยู่ในขาขึ้น (Up Trend) เท่านั้น

2. การหาหุ้นจากงบการเงิน (Fundamental Analysis)
โดยพิจารณาผลประกอบการผ่านงบการเงิน หรือพิจารณาจากขนาดของธุรกิจ
เมื่อได้รายชื่อหุ้นที่ผ่านการคัดกรองข้างต้นมาแล้ว ทั้งหุ้นที่พื้นฐานดีและพื้นฐานไม่ดีจะถูกนำมา วางแผนการเทรดอย่างเป็นระบบ ตามความถนัดของแต่ละคน โดยอาจพิจารณาจากรูปแบบการเคลื่อนไหวของราคาแบบต่างๆ และช่วงเวลาของกราฟ เช่น 5 นาที หรือ 60 นาที หรือ 1 วัน
• จุดซื้อ (Entry หรือ Buy) เช่น ราคาผ่านแนวต้านสำคัญ (เบรคหัวของ Wave 1 ได้)
• จุดขาย (Exit) เช่น เป้าโดยการคาดการณ์จาก Fibonacci Retracement 161.8% หรือ 261.8%
• จุดตัดขาดทุน (Stop Loss) เช่น ที่จุดต่ำสุดก่อนหน้า
• จุดขายกรณีที่ราคายังไปไม่ถึงเป้า (Trailing Stop) เช่น ขายเมื่อราคาปิดต่ำกว่าเส้น Moving Average ที่กำหนดไว้
![]() |

จากนั้นเทรดเดอร์จะเลือกหุ้นที่มีความคุ้มค่าน่าลงทุนที่สุด 5 - 10 อันดับ มาทำการตั้งเตือน (Alert) เพื่อแจ้งเตือนราคาหุ้นที่ได้วางแผนการเทรดเอาไว้ (Stock Wish List) ณ จุดที่ต้องตัดสินใจต่างๆ และทำการ ติดตาม (Monitor) หรือซื้อขาย (Order) ตามแผนเมื่อได้รับการแจ้งเตือน
เมื่อจบกระบวนการในการซื้อขายในแต่ละวัน สิ่งที่มีความสำคัญมากอีกเรื่องหนึ่ง คือ การจดบันทึกการเทรด โดยเทรดเดอร์จะบันทึกจุดซื้อ (Entry หรือ Buy) จุดทำกำไร (Take Profit) หรือขาดทุน (Stop Loss) ระยะเวลาที่ใช้ในการเทรด จำนวนครั้งที่กำไร (% Win) จำนวนครั้งที่ขาดทุน (% Loss) เพื่อตรวจสอบโอกาสชนะ (Hit Rate) ในแผนการเทรด (Trade Setup) ที่ใช้ นอกจากนี้ จะคอยสังเกตพฤติกรรมที่ดีและข้อผิดพลาดในการซื้อขายของตนเอง รวมถึงความรู้สึกนึกคิดที่มีผลต่อการตัดสินใจในขณะที่ทำการซื้อขาย เพื่อนำมาประเมินผลและปรับแก้ไขแผนการเทรดของตนเองตลอดเวลา
ความคิดเห็นของท่านเกี่ยวกับเว็บไซต์ “ห้องเรียนนักลงทุน”
ท่านได้รับความรู้จากเนื้อหาของ เว็บไซต์ห้องเรียนนักลงทุน เพิ่มขึ้น มากน้อยเพียงใด
ท่านมีความพึงพอใจต่อการใช้งาน มากน้อยเพียงใด
ท่านได้รับความรู้จากเนื้อหาของ เว็บไซต์ห้องเรียนนักลงทุน เพิ่มขึ้น มากน้อยเพียงใด
ท่านมีความพึงพอใจต่อการใช้งาน มากน้อยเพียงใด